วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์

ประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์




ความหมายและความเป็นมา
     เมื่อพิจารณาศัพท์คำว่า คอมพิวเตอร์ ถ้าแปลกันตรงตัวตามคำภาษาอังกฤษ จะหมายถึงเครื่องคำนวณ ดังนั้นถ้ากล่าวอย่างกว้าง ๆ เครื่องคำนวณที่มีส่วนประกอบเป็นเครื่องกลไกหรือเครื่องไฟฟ้า ต่างก็จัดเป็นคอมพิวเตอร์ได้ทั้งสิ้น ลูกคิดที่เคยใช้กันในร้านค้า ไม้บรรทัด คำนวณ (slide rule) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือประจำตัววิศวกรในยุคยี่สิบปีก่อน หรือเครื่องคิดเลข ล้วนเป็นคอมพิวเตอร์ได้ทั้งหมด
     ในปัจจุบันความหมายของคอมพิวเตอร์จะระบุเฉพาะเจาะจง หมายถึงเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานคำนวณผลและเปรียบเทียบค่าตามชุดคำสั่งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้คำจำกัดความของคอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์
การจำแนกคอมพิวเตอร์ตามลักษณะวิธีการทำงานภายในเครื่องคอมพิวเตอร์อาจแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ
     แอนะล็อกคอมพิวเตอร์ (analog computer) เป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้ใช้ค่าตัวเลขเป็นหลักของการคำนวณ แต่จะใช้ค่าระดับแรงดันไฟฟ้าแทน ไม้บรรทัดคำนวณ อาจถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของแอนะล็อกคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ค่าตัวเลขตามแนวความยาวไม้บรรทัดเป็นหลักของการคำนวณ โดยไม้บรรทัดคำนวณจะมีขีดตัวเลขกำกับอยู่ เมื่อไม้บรรทัดหลายอันมรประกบรวมกัน การคำนวณผล เช่น การคูณ จะเป็นการเลื่อนไม้บรรทัดหนึ่งไปตรงตามตัวเลขของตัวตั้งและตัวคูณของขีดตัวเลขชุดหนึ่ง แล้วไปอ่านผลคูณของขีดตัวเลขอีกชุดหนึ่งแอนะล็อกคอมพิวเตอร์แบบอิเล็กทรอนิกส์จะใช้หลักการทำนองเดียวกัน โดยแรงดันไฟฟ้าจะแทนขีดตัวเลขตามแนวยาวของไม้บรรทัด
     แอนะล็อกคอมพิวเตอร์จะมีลักษณะเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่แยกส่วนทำหน้าที่เป็นตัวกระทำและเป็นฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ จึงเหมาะสำหรับงานคำนวณทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่อยู่ในรูปของสมการคณิตศาสตร์ เช่น การจำลองการบิน การศึกษาการสั่งสะเทือนของตึกเนื่องจากแผ่นดินไหว ข้อมูลตัวแปรนำเข้าอาจเป็นอุณหภูมิความเร็วหรือความดันอากาศ ซึ่งจะต้องแปลงให้เป็นค่าแรงดันไฟฟ้า เพื่อนำเข้าแอนะล็อกคอมพิวเตอร์ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาเป็นแรงดันไฟฟ้าแปรกับเวลาซึ่งต้องแปลงกลับไปเป็นค่าของตัวแปรที่กำลังศึกษา
     ในปัจจุบันไม่ค่อยพบเห็นแอนะล็อกคอมพิวเตอร์เท่าไรนักเพราะผลการคำนวณมีความละเอียดน้อย ทำให้มีขีดจำกัดใช้ได้กับงานเฉพาะบางอย่างเท่านั้น
     ดิจิทัลคอมพิวเตอร์ (digital computer) คอมพิวเตอร์ที่พบเห็นทั่วไปในปัจจุบัน จัดเป็นดิจิทัลคอมพิวเตอร์แทบทั้งหมด ดิจิทัลคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้งานเกี่ยวกับตัวเลข มีหลักการคำนวณที่ไม่ใช่แบบไม้บรรทัดคำนวณ แต่เป็นแบบลูกคิด โดยแต่และหลักของลูกคิดคือ หลักหน่วย หลักร้อย และสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นระบบเลขฐานสินที่แทนตัวเลขจากศูนย์ถ้าเก้าไปสิบตัวตามระบบตัวเลขที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
     ค่าตัวเลขของการคำนวณในดิจิทัลคอมพิวเตอร์จะแสดงเป็นหลักเช่นเดียวกัน แต่จะเป็นระบบเลขฐานสองที่มีสัญลักษณ์ตัวเลขเพียงสองตัว คือเลขศูนย์กับเลขหนึ่งเท่านั้น โดยสัญลักษณ์ตัวเลขทั้งสองตัวนี้ จะแทนลักษณะการทำงานภายในซึ่งเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ต่างกัน การคำนวณภายในดิจิทัลคอมพิวเตอร์จะเป็นการประมวลผลด้วยระบบเลขฐานสองทั้งหมด ดังนั้นเลขฐานสิบที่เราใช้และคุ้นเคยจะถูกแปลงไปเป็นระบบเลขฐานสองเพื่อการคำนวณภายในคอมพิวเตอร์ ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังเป็นเลขฐานสองอยู่ ซึ่งคอมพิวเตอร์จะแปลงเป็นเลขฐานสิบเพื่อแสดงผลให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่าย
     จากอดีตสู่ปัจจุบัน
     พัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีทางด้าน คอมพิวเตอร์ เมื่อ 50 ปีที่แล้วมา มีคอมพิวเตอร์ขึ้นใช้งาน ต่อมาเกิดระบบสื่อสารโทรคมนาคมสมัยใหม่เกิดขึ้นมากมาย และมีแนวโน้มการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เราสามารถแบ่งพัฒนาการคอมพิวเตอร์จากอดีตสู่ปัจจุบัน สามารถแบ่งเป็นยุคก่อนการใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิคส์ และยุคที่เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิคส์



เครื่องคำนวณในยุคประวัติศาสตร์
     เครื่องคำนวณเครื่องแรกของโลก ได้แก่ ลูกคิด มีการใช้ลูกคิดในหมู่ชาวจีนมากกว่า 7000 ปี และใช้ในอียิปต์โบราณมากกว่า 2500 ปี ลูกคิดของชาวจีนประกอบด้วยลูกปัดร้อยอยู่ในราวเป็นแถวตามแนวตั้ง โดยแต่ละแถวแบ่งเป็นครึ่งบนและล่าง ครึ่งบนมีลูกปัด 2 ลูก ครึ่งล่างมีลูกปัด 5 ลูก แต่ละแถวแทนหลักของตัวเลข


 เครื่องคำนวณกลไกที่รู้จักกันดี ได้แก่ เครื่องคำนวณของปาสคาลเป็นเครื่องที่บวกลบด้วยกลไกเฟืองที่ขบต่อกัน เบลส ปาสคาล (Blaise Pascal) นักคณิตศาสาตร์ชาวฝรั่งเศส ได้ประดิษฐ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2185
     คอมพิวเตอร์ในยุคเริ่มแรก ได้แก่ เครื่องจักรกลหรือสิ่งประดิษฐ์ขึ้นเพื่อช่วยในการ คำนวณ โดยที่ยังไม่มีการ นำวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมด้วย ลำดับเครื่องมือขึ้นมามีดังนี้
     ในระยะ 5,000 ปีที่ผ่านมา มนุษย์เริ่มรู้จักการใช้นิ้วมือและนิ้วเท้าของตนเพื่อช่วยในการคำนวณ และพัฒนา มาใช้อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ลูกหิน ใช้เชือกร้อยลูกหินคล้ายลูกคิด
     ต่อมาประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล ชาวจีนได้ประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อใช้ในการ คำนวณขึ้นมาชนิดหนึ่ง เรียกว่า ลูกคิด ซึ่งถือได้ว่า เป็นอุปกรณ์ใช้ช่วยการคำนวณที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและคงยังใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
     พ.ศ. 2158 นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ชื่อ John Napier ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ใช้ ช่วยการคำนวณขึ้นมา เรียกว่า Napier's Bones เป็นอุปกรณ์ที่ลักษณะคล้ายกับตารางสูตรคูณในปัจจุบัน เครื่องมือชนิดนี้ช่วยให้ สามารถ ทำการคูณและหาร ได้ง่ายเหมือนกับทำการบวก หรือลบโดยตรง
      พ.ศ 2185 นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศลชื่อ Blaise Pascal ซึ่งในขณะนั้นมีอายุเพียง 19 ปี ได้ออกแบบ เครื่องมือในการคำนวณโดย ใช้หลักการหมุนของฟันเฟืองหนึ่งอันถูกหมุนครบ 1 รอบ ฟันเฟืองอีกอันหนึ่งซึ่งอยู่ ทางด้านซ้ายจะถูกหมุนไปด้วยในเศษ 1 ส่วน 10 รอบ เครื่องมือของปาสคาลนี้ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะชน เมื่อ พ.ศ. 2188 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเนื่องจากราคาแพง และเมื่อใช้งานจริงจะเกิดเหตุการณ์ที่ฟันเฟืองติดขัดบ่อยๆ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ค่อยถูกต้องตรงความเป็นจริง
     เครื่องมือของปาสคาล สามารถใช้ได้ดีในการคำนวณการบวกและลบ ส่วนการคูณและหารยังไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นในปี พ.ศ. 2216 นักปราชญษชาวเยอรมันชื่อGottfriend von Leibnitz ได้ปรับปรุงเครื่งคำนวณของ ปาสคาลให้สามารถทหการคูณและหารได้โดยตรง โดยที่การคูณใช้หลักการบวกกันหลายๆ ครั้ง และการหาร ก็คือการลบกันหลายๆ ครั้ง แต่เครื่องมือของ Leibnitz ยังคงอาศัยการหมุนวงล้อ ของเครื่องเองอัตโนมัติ นับว่า เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่ดูยุ่งยากกลับเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
      พ.ศ. 2344 นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศลชื่อ Joseph Marie Jacquard ได้พยายามพัฒนาเครื่องทอผ้าโดยใช้ บัตรเจาะรูในการบันทึกคำสั่ง ควบคุมเครื่องทอผ้าให้ทำตามแบบที่กำหนดไว้ และแบบดังกล่าวสามารถนำมา สร้างซ้ำๆ ได้อีกหลายครั้ง ความพยายามของ Jacquard สำเร็จลงใน พ.ศ. 2348 เครื่องทอผ้านี้ถือว่าเป็น เครื่องทำงานตามโปรแกรมคำสั่งเป็นเครื่องแรก
     พ.ศ. 2373 Chales Babbage ถือกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2334 จบการศึกษาทางด้านคณิตศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ และได้รับตำแหน่ง Lucasian Professor ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ Isaac Newton เคยได้รับมาก่อน ในขณะที่กำลังศึกษาอยู่นั้น Babbage ได้สร้างเครื่อง หาผลต่าง (Difference Engine) ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้คำนวณ และพิมพ์ตารางทางคณิศาสตร์อย่างอัตโนมัติ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2373 เขาได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลอังกฤษเพื่อสร้างเครื่อง Difference Engine ขึ้นมาจริงๆ


 แต่ในขณะที่ Babbage ทำการสร้างเครื่อง Difference Engine อยู่นั้น ได้พัฒนาความคิดไปถึง เครื่องมือในการคำนวนที่มีความสามารถสูงกว่านี้ ซึ่งก็คอืเครื่องที่เรียกว่าเครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) และได้ยกเลิกโครงการสร้างเครื่อง Difference Engine ลงแล้วเริ่มต้นงานใหม่ คือ งานสร้างเครื่องวิเคราะห์ ในความคิดของเขา โดยที่เครื่องดังกล่าวประกอบไปด้วยชิ้นส่วนที่สำคัญ 4 ส่วน คือ
  1. ส่วนเก็บข้อมูล เป็นส่วนที่ใช้ในการเก็บข้อมูลนำเข้าและผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณ
  2. ส่วนประมวลผล เป็นส่วนที่ใช้ในการประมวลผลทางคณิตศาสตร์
  3. ส่วนควบคุม เป็นส่วนที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างส่วนเก็บข้อมูล และส่วนประมวลผล
  4. ส่วนรับข้อมูลเข้าและแสดงผลลัพธ์ เป็นส่วนที่ใช้รับทราบข้อมูลจากภายนอกเครื่องเข้าสู่ส่วนเก็บ และแสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณให้ผู้ใช้ได้รับทราบ
     เป็นที่น่าสังเกตว่าส่วนประกอบต่างๆ ของเครื่อง Alaytical Engine มีลักษณะใกล้เคียงกับส่วนประกอบ ของระบบคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่เครื่อง Alalytical Engine ของ Babbage นั้นไม่สามารถ สร้างให้สำเร็จขึ้นมาได้ ทั้งนี้เนื่องจากเทคโนโลยี สมัยนั้นไม่สามารถสร้างส่วนประกอบต่างๆ ดังกล่าว และอีกประการหนึ่งก็คือ สมัยนั้นไม่มีความจำเป็น ต้องใช้เครื่องที่มีความสามารถสูงขนาดนั้น ดังนั้นรัฐบาล อังกฤษจึงหยุดให้ความสนับสนุนโครงการของ Babbage ในปี พ.ศ. 2385 ทำให้ไม่มีทุนที่จะทำการวิจัยต่อไป สืบเนื่องจากมาจากแนวความคิดของ Analytical Engine เช่นนี้จึงทำให้ Charles Babbage ได้รับการยกย่อง ให้เป็น บิดาของเครื่องคอมพิวเตอร์
     พ.ศ. 2385 ชาวอังกฤษ ชื่อ Lady Auqusta Ada Byron ได้ทำการแปลเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่อง Anatical Engine จากภาษาฝรั่งเศลเป็นภาษาอังกฤษ ในระหว่างการแปลทำให้ Lady Ada เข้าใจถึงหลักการทำงาน ของเครื่อง Analytical Engine และได้เขียนรายละเอียดขั้นตอนของคำสั่งให้เครื่องนี้ทำการคำนวณที่ยุ่งยาก ซับซ้อนไว้ในหนังสือทางคณิตศาสตร์เล่มหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์โปรแกรมแรกของโลก และจากจุดนี้จึงถือว่า Lady Ada เป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก (มีภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรมที่เก่แก่ อยู่หนึ่งภาษาคือภาษา Ada มาจาก ชื่อของ Lady Ada) นอกจากนี้ Lady Ada ยังค้นพบอีกว่าชุดบัตรเจาะรู ที่บรรจุคำสั่งไว้สามารถนำกลับมาทำงานซ้ำได้ถ้าต้องการ นั่นคือหลักของการทำงานวนซ้ำ หรือเรียกว่า Loop เครื่องมือที่ใช้ในการคำนวณที่ถูกพัฒนาขึ้นในศตวรรษที่ 19 นั้น ทำงานกับเลขฐานสิบ (Decimal Number) แต่เมื่อเริ่มต้นของศตวรรษที่ 20 ระบบคอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนาขึ้นจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงมาใช้ เลขฐานสอง (Binary Number) กับระบบคอมพิวเตอร์ ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากหลักของพีชคณิต
     พ.ศ. 2397 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ George Boole ได้ใช้หลักพีชคณิตเผยแพร่กฎของ Boolean Algebra ซึ่งเป็นคณิตศาสตร์ที่ใช้อธิบายเหตุผลของตรรกวิทยาที่ตัวแปรมีค่าได้เพียง "จริง" หรือ "เท็จ" เท่านั้น (ใช้สภาวะเพียงสองอย่างคือ 0 กับ 1 ร่วมกับเครื่องหมายในเชิงตรรกพื้นฐาน คือ AND, OR และ NOT)
     สิ่งที่ George Boole คิดค้นขึ้น นับว่ามีประโยชน์ต่อระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็น การยากที่จะใช้กระแสไฟฟ้า ซึ่งมีเพี่ยง 2 สภาวะ คือ เปิด กับ ปิด ในการแทน เลขฐานสิบซึ่งมีอยู่ถึง 10 ตัว คือ 0 ถึง 9 แต่เป็นการง่ายกว่าเราแทนด้วยเลขฐานสอง คือ 0 กับ 1 จึงถือว่าสิ่งนี้เป็นรากฐานที่สำคัญของการ ออกแบบวงจรระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
     พ.ศ. 2423 Dr. Herman Hollerith นักสถิติชาวอเมริกันได้ประดิษฐ์เครื่องประมวลผลทางสถิติซึ่ง ใช้กับบัตรเจาะรู เครื่องนี้ได้รับการพัฒนา ให้ดียิ่งขึ้นและมาใช้งานสำรวจสำมะโนประชากร ของสหรัฐอเมริกา ในป พ.ศ. 2433 และช่วยให้การสรุปผลสำมะโนประชากรเสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 2 ปีครึ่ง (โดยก่อนหน้านั้นต้องใช้เวลาถึง 7 ปีครึ่ง) เรียกบัตรเจาะรูนี้ว่า บัตรฮอลเลอริธ และชื่ออื่นๆ ที่ใช้เรียกบัตรนี้ ก็คือ บัตร ไอบีเอ็ม หรือบัตร 80 คอลัมน์ เพราะผู้ผลิตคือ บริษัท IBM



การกำเนิดของเครื่องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์
     เครื่องมือทั้งหลายที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาในยุคก่อนนั้นส่วนมากประกอบด้วยฟันเฟือง รอก คาน ซึ่งเป็นวัสดุ ที่มีขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักมากทำให้การทำงานล่าช้าและผิดพลาดอยู่เสมอ ดังนั้นในยุคต่อมาจึงพยายาม พัฒนาเครื่องมือ ให้มีขนาดเล็กลง แต่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ดังนี้
     พ.ศ. 2480 ศาสตราจารย์ Howard Aiken แห่งมหาลัยวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้พัฒนาเครื่องคำนวณ ตาม แนวคิด ของ Babbage ร่วมกับวิศวะกรของบริษัท IBM สร้างเครื่องคำนวณตามความคิดของ Babbage ได้ สำเร็จ โดยเครื่องดังกล่าวทำงานแบบเครื่องจักรกลปนไฟฟ้า และใช้บัตรเจาะรูเป็นสื่อในการนำเข้าข้อมูลสู่ เครื่องเพื่อทำการประมวลผล การพัฒนาดังกล่าวมาเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2487 โดยเครื่องมือนี้มีชื่อว่า MARK 1 และเนื่องจากเครื่องนี้สำเร็จได้จากการสนับสนุน ด้านการเงินและบุคลากรจากบริษัท IBM ดังนั้นจึงมีอีกชื่อ หนึ่งว่า IBM Automatic Sequence Controlled Calculator และนับเป็นเครื่องคำนวณแบบอัตโนมัติเครื่องแรกของโลก



พ.ศ. 2486 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ศูนย์วิจัยของกองทัพบกสหรัฐอเมริกามีความจำเป็นที่จะต้อง คิดค้นเครื่องช่วยคำนวณ เพื่อใช้คำนวณหาทิศทางและระยะทางในการส่งขีปนาวุธ ซึ่งถ้าใช้เครื่องคำนวณที่มี อยู่ในสมัยนั้นจะต้องใช้เวลาถึง 12 ชั่วโมงในการคำนวณ การยิง 1 ครั้ง ดังนั้นกองทัพจึงให้กองทุนอุดหนุนแก่ John W. Mauchly และ Persper Eckert จากหมาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ในการสร้างคอมพิวเตอร์ จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมา โดยนำหลอดสุญยากาศ (Vacuum Tube) จำนวน 18,000 หลอด มาใช้ในการสร้าง ซึ่งมีข้อดีคือ ทำให้เครื่องมีความเร็ว และมีความถูกต้องแม่นยำในการคำนวณมากขึ้น ในด้านของความเร็วนั้น เครื่องจักกลมีความเฉื่อยของการเคลื่อนที่ของชิ้นส่วนประกอบ แต่คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ จะใช้อิเล็กตรอนเป็นตัวคลื่อนที่ ทำให้สามารถส่งข้อมูลด้วยกระแสไฟฟ้าได้ ด้วยความเร็วใกล้เคียงกับความเร็วของแสง ส่วนความถูกต้องแม่นยำในการทำงานของเครื่องจักรกลอาศัยฟันเฟือง รอก คาน ในการทำงาน ทำให้ทำงานได้ช้า และเเกิดความผิดพลดได้ง่าย
  พ.ศ. 2489 เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ Mauchly และ Eckert คิดค้นขึ้นได้มีชื่อว่า ENIAC ย่อมาจาก (Electronic Numberical Integrater and Caculator) ประสบความสำเร็จในปี พ.ศ. 2489 ถึงแม้ว่าจะไม่ทันใช้ในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ความเร็วในการตำนวณของ ENIAC ทำให้วงการคอมพิวเตอร์ขณะนั้น ยอมรับความสามารถของเครื่องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ แต่อย่างไรก็ตาม ENIAC ทำงานด้วยไฟฟ้าทั้งหมดทำให้ในการทำงานแต่ละครั้งจึงทำให้เกิดความร้อนสูงมาก จำเป็นต้องติดตั้งไว้ในห้องที่มีเครือ่งปรับอากาศด้วย นอกจากนี้ ENIAC ยังเก็บได้เฉพาะข้อมูลที่เป็นตัวเลขขนาด 10 หลัก และเก็บได้เพียง 20 จำนวน เท่านั้น ส่วนชุดคำสั่งนั้น ยังไม่สามารถเก็บไว้ในเครื่องได้ การส่งชุดคำสั่งเข้าเครื่องจะต้องใช้วิธีการเดินสายไฟสร้างวงจร ถ้ามีการแก้ไขโปรแกรม ก็ต้องมีการเดินสายไฟกันใหม่ ซึ่งใช้เวลาเป็นวัน


  ความคิดต่อมาในการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ดีขึ้นก็คือ การค้นหาวิธีการเก็บโปรแกรมไว้ในเครื่อง เพื่อลดความยุ่งยาก ของขั้นตอนการป้อนคำสั่งเข้าเครื่อง มีนักคณิตศาสตร์เชื้อสายฮังการเรียนชื่อ Dr.John Von Neumann ได้พบวิธีการเก็บโปรแกรมไว้ ในหน่วยความจำของเครื่องเช่นเดียวกับการเก็บข้อมูลและต่อวงจรไฟฟ้า สำหรับการคำนวณ และการปฏิบัติการพื้นฐาน ไว้ให้เรียบร้อยภายในเครื่อง แล้วเรียกวงจรเหล่านี้ด้วยรหัสตัวเลขที่กำหนดไว้ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นตามแนวความคิดนี้ได้แก่ EVAC (Electronic Ddiscreate Variable Automatic Computer) ซึ่งสร้างเสร็จใน พ.ศ. 2492 และนำมาใช้งานจริงในปี พ.ศ. 2494 และในเวลาใกล้เคียงกัน ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดส์ ประเทศอังกฤษ ได้มีการสร้างคอมพิวเตอร์มีลักษณะคล้ายกับเครื่อง EVAC และให้ชื่อว่า EDSAC (Electronic Delay Strorage Automatic Caculator)





วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559

การดูแลรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์

การดูแลรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์




วิธีการดูแลรักษาแป้นพิมพ์ (Keyboard)





       1.ปัดฝุ่นและทำความสะอาดเป็นประจำ
       2.อย่าทำน้ำหกถูกแผงแป้นพิมพ์
       3.คลุมผ้าทุกครั้งหลังการใช้งาน

วิธีการดูแลรักษาจอภาพ ( Monitor)


     1.ทำความสะอาดหน้าจอ
     2.อย่านำแม่เหล็กเข้าใกล้จอภาพ


วิธีการดูแลรักษาเครื่องพิมพ์ ( Printer)




     1.ปิดเครื่องพิมพ์ทุกครั้งหลังใช้งาน
     2.เมื่อกระดาษติดอย่ากระชากให้ค่อยๆดึงออก

วิธีการดูแลรักษาเมาส์ ( Mouse )




     1.ควรวางเมาส์ไว้ที่แผ่นรองเมาส์ทุกครั้ง
     2.อย่ากระแทกเมาส์กับพื้น
     3.ทำความสะอาดเมาส์บริเวณลูกกลิ้ง

วิธีการดูแลรักษาตัวเครื่อง ( Case )



      1.ไม่ควรให้เครื่องอยู่บริเวณที่มีอุณหภูมิสูง
      2.ไม่ควรทำน้ำหรืออาหารหกใส่เครื่อง

การดูแลรักษาแผ่นดิสก์ ( Diskette )



      1.ไม่ควรนำแผ่นดิสก์ไปไว้ในที่ที่มีความชื้นสูงหรือเปียก
      2.ไม่ควรนำแผ่นดิสก์ไปเข้าใหล้กับวัตถุที่มีสนามแม่เหล็ก
      3.ไม่ควรนำแผ่นดิสก์ไปวางไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงหรือที่ี่มีแสงแดดส่องถึง
      4.ไม่ควรขีดหรือเขียนสิ่งใดลงบนแผ่นดิสก์ถ้าจะต้องเขียนให้เขียนลงบนป้าน
   ที่มีชื่อไว้สำหรับตอดบนแผ่นดิสก์
      5.ไม่ควรงอแผ่นดิสก์  เพราะอาจทำให้แผ่นชำรุดและอาจจะทำให้ไม่สามารถ
   เก็บบันทึกข้อมูลได้
      6.ห้ามนำแผ่นดิสก์ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ในขณะที่กำลังอ่านข้อมูล


การดูแลรักษาแผ่นซีดี (CD)



      
      1.ควรเก็บแผ่นซีดีไว้ในกล่อง เพื่อป้องกันฝุ่นละอองหรือสิ่งสกปรกอื่นๆ
      2.ไม่ควรขีดหรือเขียนสิ่งใดลงบนแผ่นซีดี เนื่องจากจะทำให้แผ่นซีดีเกิดรอย
   ขีดข่วนและเสียหาย ใช้งานไม่ได้
      3.การจัดแผ่นซีดีที่ถูกต้อง  ควรใช้นิ้วชี้หรือนิ้วกลางใส่ลงไปในช่องตรงกลางของ
   แผ่นแล้วใช้นิ้วอื่นจับตรงส่วนขอบของแผ่น ไม่ควรใช้มือจับบริเวณด้านหน้าหรือด้าน
   หลังของแผ่นซีดี  เนื่องจากคราบน้ำมันหรือสิ่งสกปรกบนมืออาจทำให้แผ่นซีด๊ใช้งาน
   ไม่ดีเท่าที่ควร
     4.ไม่ควรงอแผ่นซีดี เนื่องจากแผ่นซีดีเป็นพลาวติดแข็งไม่มีความยือหยุนซึ่งอาจจะ
   ทำให้แผ่นซีดีมีโอกาศแตกหักได้ง่าย







การใช้ความพิวเตอร์เบื้องต้น

การใช้ความพิวเตอร์เบื้องต้น
        เนื้อหาจะเป็นการแนะนำ การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น ต่าง ๆ ที่จำเป็น ตั้งแต่การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ การจับเม้าส์ การกดปุ่มบนเม้าส์ ตลอดจนการเปิดโปรแกรมต่าง ๆ ขึ้นมา การปิดโปรแกรมต่าง ๆ เมื่อไม่ใช้งาน การแก้ไขเครื่องในกรณีเครื่องเกิดอาการ Hang การปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้อง

การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
    1.ตรวจสอบปลั๊กเสียก่อนว่า เสียบเรียบร้อยดีหรือไม่
    2.ที่จอภาพ กดสวิทซ์ เพื่อเปิดจอภาพ
    3.ที่ CPU. ด้านหน้า จะมีสวิทซ์ เพื่อเปิดเครื่อง (กดเบา ๆ )
    4.เมื่อเปิดเครื่องแล้ว รอสักครู่ ที่จอภาพจะมีข้อความเพื่อตรวจสอบระบบต่าง ๆ
    5.จากนั้น จะมีเสียง 1 ครั้ง
    6.ที่หน้าจอภาพจะขึ้นคำว่า Windows เป็นการเริ่มต้นการใช้เครื่อง เพราะเครื่องจะต้องเรียกโปรแกรมควบคุมเครื่องที่ชื่อว่า Windows เสียก่อน (จะใช้เวลาประมาณ 3 นาที)
    7.จากนั้นหน้าจอภาพจะมีโปรแกรมต่าง ๆ อยู่ด้านซ้าย และด้านล่างจะมีแถบ Task Bar ให้เราทำงานได้

การเลิกใช้เครื่องคอมพิวเตอร์
    1.คลิ๊กที่ปุ่ม Start
    2.เลื่อนมาคลิ๊กที่คำสั่ง Shut Down
    3.คลิ๊กปุ่ม Ok
    4.รอสักครู่เครื่องจะเริ่มทำการปิดระบบต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์
    5.จากนั้นเครื่องจะดับเอง
    6.ยกเว้น จอภาพ ให้กดสวิทซ์ ปิดจอด้วย




ส่วนประกอบของหน้าจอเมื่อเข้าสู่วินโดวส์เรียบร้อย
    1.ส่วนที่เป็นภาพฉากหลัง เราเรียกว่า ส่วนพื้นจอภาพ (Desk Top)
    2.ด้านซ้ายของจอภาพ ส่วนที่เป็นรูปภาพ และมีคำบอกว่าเป็นโปรแกรมอะไร เรียกว่า (Icon) ลักษณะจะเป็นโปรแกรมต่าง ๆ ที่วินโดวส์ จะนำมาไว้ที่จอภาพ ส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมที่ถูกเรียกใช้บ่อย ๆ
    3.ด้านล่างของจอภาพที่เป็นแถบสีเทา เราเรียกว่า (Task Bar) เป็นส่วนบอกสถานะต่าง ๆ โดยที่ด้านขวาของ ทาสบาร์ จะบอกเวลาปัจจุบัน สถานะของแป้นพิมพ์ว่า ภาษาไทย หรือ อังกฤษ โปรแกรมที่ถูกฝังตัวอยู่ ส่วนแถบตรงกลางจะใช้บอกว่า ขณะนี้เราเปิดโปรแกรมอะไรใช้งานอยู่บ้าง ด้านซ้ายของจอภาพ จะมีปุ่ม Start ใช้ในการเริ่มเข้าสู่โปรแกรมต่าง ๆ



การกดปุ่มบนเม้าส์ (Mouse)

            เม้าส์ในปัจจุบันจะมี 2 ปุ่ม ซ้าย และขวา ส่วนถ้าเป็นแบบล่าสุด จะมีปุ่มคล้าย ๆ ล้ออยู่ตรงกลางเพื่อใช้ในการเลื่อน ขึ้น และ ลง บนหน้าจอภาพ ในการกดปุ่มบนเม้าส์นั้น จะมีวิธีกดปุ่มบนเม้าส์อยู่ทั้งหมด 4 วิธีคือ
                             1.คลิ๊ก (Click) คือการใช้นิ้วชี้กดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 1 ครั้ง ใช้ในการเลือกสิ่งต่าง ๆ บนจอภาพ
                    2.ดับเบิ้ลคลิ๊ก (Double Click) คือการใช้นิ้วชี้กดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 2 ครั้ง ติดกันอย่างเร็ว ใช้ในการเปิดโปรแกรมที่อยู่ด้านซ้ายของจอภาพ
                             3.แดร๊ก (Drag) คือการกดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ ค้างไว้ แล้วลากเม้าส์ ใช้ในการย้ายสิ่งต่าง ๆ
               4.คลิ๊กขวา (Right – Click) คือการใช้นิ้วกลาง กดปุ่ม ขวา ของเม้าส์ 1 ครั้ง ใช้ในการเข้าเมนูลัดของโปรแกรม (Context Menu)



    
                       การเปิดโปรแกรมขึ้นมาใช้งาน เช่น ต้องการเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลข (Calculator)
                             1.คลิ๊กที่ปุ่ม Start ตรงแถบทาสบาร์ด้านล่างซ้ายมือ
                             2.เลื่อนเม้าส์เพื่อให้ลูกศรที่จอภาพ ชี้ที่คำว่า Program ตรงนี้ชี้ไว้เฉย ๆ ครับ ไม่ต้องคลิ๊กเม้าส์
                             3.เลื่อนเม้าส์ไปทางขวา ในแนวนอนก่อน แล้วเลื่อนขึ้นไปที่คำว่า Accessories ไม่ต้องคลิ๊กเม้าส์
                             4.เลื่อนเม้าส์ไปทางขวา ในแนวนอนอีก แล้วเลื่อนลงมาที่คำว่า Calculator
                             5.จากนั้นจับเม้าส์ให้ นิ่ง ๆ คลิ๊กเม้าส์ 1 ที (คือการกดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ 1 ครั้ง)
                            6.กรอบต่าง ๆ จะหายไป แล้วเครื่องจะเปิดหน้าต่าง เครื่องคิดเลขขึ้นมา ถือว่าเสร็จขึ้นตอนการเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลข ขึ้นมาใช้งาน ครับ

สวา



วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559

การใช้แป้นพิมพ์และเคล็ดลับการใช้อย่างปลอดภัย

การใช้แป้นพิมพ์





          

            ไม่ว่าคุณกำลังเขียนจดหมายหรือคำนวณข้อมูลตัวเลข แป้นพิมพ์เป็นวิธีหลักในการใส่ข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ของคุณ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าคุณสามารถใช้แป้นพิมพ์ในการควบคุมคอมพิวเตอร์ของคุณได้ การเรียนรู้ที่จะใช้ คำสั่ง (ชุดคำสั่งที่ส่งไปยังคอมพิวเตอร์ของคุณ) บนแป้นพิมพ์ง่ายๆ เพียงไม่กี่คำสั่ง จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น บทความนี้ครอบคลุมพื้นฐานการใช้แป้นพิมพ์และให้คุณเริ่มต้นทำงานกับคำสั่งบนแป้นพิมพ์

การจัดกลุ่มแป้นต่างๆ

        แป้นบนแป้นพิมพ์แบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่มตามการใช้งาน
  • แป้นตัวพิมพ์ (ตัวเลขและตัวอักษร) แป้นเหล่านี้ประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลข เครื่องหมายวรรคตอน และแป้นสัญลักษณ์ แบบเดียวกับที่พบบนเครื่องพิมพ์ดีดแบบดั้งเดิม
  • แป้นควบคุม แป้นเหล่านี้ใช้เดี่ยวหรือใช้ร่วมกับแป้นอื่นเพื่อดำเนินการบางอย่าง แป้นควบคุมที่ใช้บ่อยที่สุดคือแป้น Ctrl, Alt, แป้นโลโก้ Windowsรูปภาพของแป้นโลโก้ Windowsและ Esc
  • แป้นฟังก์ชัน แป้นฟังก์ชันใช้เพื่อดำเนินงานที่เฉพาะเจาะจง แป้นเหล่านี้มีชื่อว่า F1, F2, F3 และต่อไปจนถึง F12 ฟังก์ชันการทำงานของแป้นเหล่านี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละโปรแกรม
  • แป้นนำทาง แป้นเหล่านี้ใช้สำหรับย้ายไปมาทั่วทั้งเอกสารหรือเว็บเพจ และใช้สำหรับการแก้ไขข้อความ ซึ่งประกอบด้วยแป้นลูกศร, Home, End, Page Up, Page Down, Delete และ Insert
  • แป้นพิมพ์ตัวเลข แป้นพิมพ์ตัวเลขช่วยให้คุณใส่ตัวเลขได้อย่างรวดเร็ว แป้นเหล่านี้อยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มเหมือนเครื่องคิดเลขหรือเครื่องบวกเลขทั่วไป
ภาพประกอบต่อไปนี้แสดงวิธีการจัดเรียงแป้นดังกล่าวบนแป้นพิมพ์ทั่วไป รูปแบบแป้นพิมพ์ของคุณอาจแตกต่างกันได้

การพิมพ์ข้อความ

         เมื่อคุณต้องการพิมพ์บางสิ่งบางอย่างลงในโปรแกรม ข้อความอีเมล หรือกล่องข้อความ คุณจะเห็นเส้นกระพริบแนวตั้งเส้นหนึ่ง นั่นคือ เคอร์เซอร์ หรือเรียกอีกหนึ่งว่า จุดแทรก เคอร์เซอร์นี้ใช้บอกตำแหน่งข้อความที่คุณเริ่มพิมพ์ คุณสามารถย้ายเคอร์เซอร์ได้ด้วยการคลิกไปยังตำแหน่งที่ต้องการโดยใช้เมาส์หรือแป้นนำทาง (ดูที่ส่วน "การใช้แป้นนำทาง" ในบทความนี้)
นอกจากตัวอักษร ตัวเลข เครื่องหมายวรรคตอน และสัญลักษณ์ต่างๆ แล้ว แป้นตัวพิมพ์ยังประกอบด้วย Shift, Caps Lock, Tab, Enter, Spacebar และ Backspace
ชื่อแป้น
วิธีใช้แป้น
Shift
กด Shift พร้อมกับตัวอักษรเพื่อพิมพ์อักษรตัวพิมพ์ใหญ่ กด Shift พร้อมกับแป้นอื่นเพื่อพิมพ์สัญลักษณ์ที่แสดงอยู่ด้านบนของแป้นนั้น
Caps Lock
กด Caps Lock หนึ่งครั้งเพื่อพิมพ์ตัวอักษรทั้งหมดเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ กด Caps Lock อีกครั้งเพื่อปิดฟังก์ชันนี้ แป้นพิมพ์ของคุณอาจมีไฟแสดงว่า Caps Lock เปิดอยู่
Tab
กด Tab เพื่อย้ายเคอร์เซอร์ไปข้างหน้าแบบหลายวรรค คุณยังสามารถกด Tab เพื่อย้ายไปยังกล่องข้อความถัดไปบนฟอร์มได้อีกด้วย
Enter
กด Enter เพื่อย้ายเคอร์เซอร์ไปที่ต้นบรรทัดถัดไป ในกล่องโต้ตอบ ให้กด Enter เพื่อเลือกปุ่มที่เน้น
Spacebar
กด Spacebar เพื่อเลื่อนเคอร์เซอร์ไปข้างหน้าหนึ่งวรรค
Backspace
กด Backspace เพื่อลบอักขระที่อยู่ก่อนหน้าเคอร์เซอร์ หรือลบข้อความที่เลือก

การใช้แป้นพิมพ์ลัด

      แป้นพิมพ์ลัด คือวิธีดำเนินการโดยใช้แป้นพิมพ์ของคุณ ซึ่งเรียกว่าทางลัด เพราะแป้นพิมพ์นี้ช่วยคุณให้ทำงานได้เร็วขึ้น ในความเป็นจริงการกระทำหรือคำสั่งเกือบทุกอย่างที่คุณทำได้โดยใช้เมาส์นั้น สามารถทำได้เร็วกว่าการใช้แป้นอย่างน้อยหนึ่งแป้นบนแป้นพิมพ์ของคุณ
ในหัวข้อ 'วิธีใช้' เครื่องหมายบวก (+) ระหว่างแป้นอย่างน้อยสองแป้นมีความหมายว่าให้กดแป้นเหล่านั้นพร้อมกัน ตัวอย่างเช่น Ctrl+A หมายถึงให้กด Ctrl ค้างไว้ แล้วจึงกด A หรือ Ctrl+Shift+A หมายถึงให้กด Ctrl และ Shift ค้างไว้ แล้วจึงกด A

การหาทางลัดของโปรแกรม

       คุณสามารถทำสิ่งต่างๆ ในโปรแกรมส่วนใหญ่ได้โดยใช้แป้นพิมพ์ เมื่อต้องการดูว่าคำสั่งไหนมีแป้นพิมพ์ลัด ให้เปิดเมนู ทางลัด (ถ้ามี) จะแสดงถัดจากรายการเมนู

การเลือกเมนู คำสั่ง และตัวเลือก

        คุณสามารถเปิดเมนูและเลือกคำสั่ง รวมถึงตัวเลือกอื่นๆ ได้โดยใช้แป้นพิมพ์ ในโปรแกรมที่เมนูมีตัวอักษรที่ขีดเส้นใต้ ให้กด Alt และตัวอักษรที่ขีดเส้นใต้นั้นเพื่อเปิดเมนูที่เกี่ยวข้อง กดตัวอักษรที่ขีดเส้นใต้ในรายการเมนูเพื่อเลือกคำสั่งนั้น สำหรับโปรแกรมที่ใช้ Ribbon เช่น 'ระบายสี' และ WordPad การกด Alt จะวางซ้อน (แทนที่จะขีดเส้นใต้) ตัวอักษรที่สามารถกดได้





กด Alt+F เพื่อเปิดเมนู 'แฟ้ม' แล้วกด P เพื่อเลือกคำสั่ง 'พิมพ์'
เทคนิคนี้ใช้กับกล่องโต้ตอบได้เช่นกัน เมื่อไรก็ตามที่คุณเห็นตัวอักษรที่ขีดเส้นใต้อยู่กับตัวเลือกในกล่องโต้ตอบ หมายความว่าคุณสามารถกด Alt ร่วมกับตัวอักษรนั้นเพื่อเลือกตัวเลือกดังกล่าวได้

ทางลัดที่เป็นประโยชน์

         ตารางต่อไปนี้แสดงรายการแป้นพิมพ์ลัดที่มีประโยชน์มากที่สุดจำนวนหนึ่ง สำหรับรายการโดยละเอียด ให้ดูที่ แป้นพิมพ์ลัด
ให้กดแป้น
เมื่อต้องการทำสิ่งนี้
Windows แป้นโลโก้ รูปภาพของแป้นโลโก้ Windows
เปิดเมนูเริ่ม
Alt+Tab
สลับไปมาระหว่างโปรแกรมหรือหน้าต่างที่เปิดอยู่
Alt+F4
ปิดรายการที่ใช้งานอยู่ หรือออกจากโปรแกรมที่ใช้งานอยู่
Ctrl+S
บันทึกแฟ้มหรือเอกสารที่เปิดอยู่ขณะนั้น (ใช้ได้กับโปรแกรมส่วนใหญ่)
Ctrl+C
คัดลอกรายการที่เลือก
Ctrl+X
ตัดรายการที่เลือก
Ctrl+V
วางรายการที่เลือก
Ctrl+Z
ยกเลิกการกระทำ
Ctrl+A
เลือกรายการทั้งหมดในเอกสารหรือหน้าต่าง
F1
แสดง 'วิธีใช้' ของโปรแกรมหรือ Windows
แป้นโลโก้ Windowsรูปภาพของแป้นโลโก้ Windows +F1
แสดง Help and Support ของ Windows
Esc
ยกเลิกงานปัจจุบัน
แป้นโปรแกรมประยุกต์ รูปภาพของแป้นโปรแกรมประยุกต์
เปิดเมนูคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการเลือกในโปรแกรม เทียบเท่ากับการเลือกโดยใช้วิธีคลิกขวาบนเมาส์


การใช้แป้นนำทาง

      แป้นนำทางช่วยให้คุณย้ายเคอร์เซอร์ หรือย้ายไปมาในเอกสารและเว็บเพจ และแก้ไขข้อความได้ ตารางต่อไปนี้แสดงรายการฟังก์ชันทั่วไปของแป้นนำทางเหล่านี้
ให้กดแป้น
เมื่อต้องการทำสิ่งนี้
ลูกศรซ้าย ลูกศรขวา ลูกศรขึ้น หรือลูกศรลง
ย้ายเคอร์เซอร์หรือการเลือกไปหนึ่งวรรคหรือหนึ่งบรรทัดตามทิศทางของลูกศร หรือเลื่อนเว็บเพจไปตามทิศทางของลูกศร
Home
ย้ายเคอร์เซอร์ไปที่ต้นบรรทัดหรือตำแหน่งบนสุดของเว็บเพจ
End
ย้ายเคอร์เซอร์ไปที่ท้ายบรรทัดหรือตำแหน่งล่างสุดของเว็บเพจ
Ctrl+Home
ย้ายไปที่ตำแหน่งบนสุดของเอกสาร
Ctrl+End
ย้ายไปที่ตำแหน่งล่างสุดของเอกสาร
Page Up
ย้ายเคอร์เซอร์หรือหน้าขึ้นไปหนึ่งหน้าจอ
Page Down
ย้ายเคอร์เซอร์หรือหน้าลงไปหนึ่งหน้าจอ
Delete
ลบอักขระหลังเคอร์เซอร์หรือลบข้อความที่เลือก สำหรับใน Windows จะเป็นการลบรายการที่เลือกและย้ายไปไว้ใน 'ถังรีไซเคิล'
Insert
เปิดหรือปิดโหมดแทรก เมื่อโหมดแทรกเปิดอยู่ ข้อความที่คุณพิมพ์จะแทรกลงที่ตำแหน่งเคอร์เซอร์ เมื่อโหมดแทรกปิดอยู่ ข้อความที่พิมพ์จะแทนที่อักขระที่มีอยู่

การใช้แป้นพิมพ์ตัวเลข

          แป้นพิมพ์ตัวเลขจัดเรียงตัวเลขตั้งแต่ 0 ถึง 9, ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ + (การบวก), - (การลบ), * (การคูณ) และ / (การหาร) และจุดทศนิยมตามที่ปรากฏในเครื่องคิดเลขหรือเครื่องบวกเลข อักขระเหล่านี้มีอยู่บนตำแหน่งอื่นของแป้นพิมพ์ด้วย แต่แน่นอนว่าการจัดเรียงแป้นพิมพ์ในลักษณะนี้จะช่วยให้คุณใส่ข้อมูลตัวเลขหรือตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ได้อย่างรวดเร็วด้วยมือข้างเดียว





แป้นพิมพ์ตัวเลข
        เมื่อต้องการใช้แป้นพิมพ์ตัวเลขเพื่อใส่ตัวเลข ให้กด Num Lock แป้นพิมพ์ส่วนใหญ่จะมีไฟแสดงว่า Num Lock เปิดหรือปิดอยู่ ถ้า Num Lock ปิดอยู่ ฟังก์ชันแป้นพิมพ์ตัวเลขจะทำหน้าที่เหมือนเป็นชุดสำรองของแป้นนำทาง (ฟังก์ชันเหล่านี้มีพิมพ์อยู่บนแป้นที่ถัดจากตัวเลขหรือสัญลักษณ์)
คุณสามารถใช้แป้นพิมพ์ตัวเลขในการคำนวณอย่างง่ายๆ โดยใช้ 'เครื่องคิดเลข'




แป้นที่เหลือ 3 แป้น

      ถึงตอนนี้เราได้กล่าวถึงแป้นที่คุณอาจใช้งานเกือบครบทุกแป้นแล้ว แต่เพื่อให้ครบถ้วนโดยแท้จริง เราจะสำรวจแป้นที่น่าสงสัยที่สุด 3 แป้นบนแป้นพิมพ์ ได้แก่ PrtScn, Scroll Lock และ Pause/Break

PrtScn (หรือ Print Screen)

       ในอดีต แป้นนี้มีหน้าที่ดำเนินการตามชื่อที่แจ้งไว้จริงๆ นั่นคือสั่งพิมพ์หน้าจอปัจจุบันของข้อความออกทางเครื่องพิมพ์ ปัจจุบันนี้ การกด PrtScn จะเป็นการจับภาพหน้าจอทั้งหมดของคุณ ("ภาพหน้าจอ") และคัดลอกไปยังคลิปบอร์ดในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ จากนั้น คุณสามารถวางภาพหน้าจอ (Ctrl+V) ลงใน 'ระบายสี' ของ Microsoft หรือโปรแกรมอื่น และพิมพ์ออกมาจากโปรแกรมนั้นตามที่คุณต้องการได้
แป้นอีกแป้นที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักคือ SYS RQ ซึ่งจะใช้แป้นร่วมกับ PrtScn บนแป้นพิมพ์บางรุ่น ในอดีตนั้น SYS RQ ได้รับการออกแบบให้เป็น "การร้องขอของระบบ" แต่คำสั่งนี้ไม่มีการเปิดใช้งานใน Windows
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปุ่ม Print Screen ให้ดูที่ การใช้การจับภาพหน้าจอ (พิมพ์หน้าจอของคุณ)

เคล็ดลับ

  • กด Alt+PrtScn เพื่อจับภาพของหน้าต่างที่ใช้งานอยู่ แทนการจับภาพหน้าจอทั้งหมด

ScrLk (หรือ Scroll Lock)

       ในโปรแกรมส่วนใหญ่ การกด Scroll Lock จะไม่มีผลอะไร แต่สำหรับบางโปรแกรม การกด Scroll Lock จะเปลี่ยนลักษณะการทำงานของแป้นลูกศร รวมทั้งแป้น Page Up และ Page Down กล่าวคือเมื่อกดแป้นเหล่านี้ เอกสารจะเลื่อนโดยที่ตำแหน่งเคอร์เซอร์และการเลือกไม่เปลี่ยนแปลง แป้นพิมพ์ของคุณอาจมีไฟแสดงว่า Scroll Lock เปิดอยู่หรือไม่

Pause/Break

      แป้นนี้มีการใช้งานน้อยมาก ในโปรแกรมรุ่นเก่าบางโปรแกรม การกดแป้นนี้จะเป็นการหยุดโปรแกรมชั่วคราว หรือถ้าใช้ร่วมกับ Ctrl จะเป็นการหยุดการเรียกใช้โปรแกรม

แป้นอื่นๆ

      แป้นพิมพ์สมัยใหม่บางรุ่นมาพร้อมกับ "แป้นลัด" หรือปุ่มที่ช่วยให้คุณทำงานเร็วขึ้น โดยกดครั้งเดียวก็สามารถเข้าถึงโปรแกรม แฟ้ม หรือคำสั่งได้ทันที รุ่นอื่นๆ อาจมีตัวควบคุมระดับเสียง ล้อเลื่อน ล้อย่อ/ขยาย และโปรแกรมเบ็ดเตล็ดอื่นๆ สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับคุณลักษณะต่างๆ ให้ตรวจสอบข้อมูลที่มาพร้อมกับแป้นพิมพ์หรือคอมพิวเตอร์ของคุณ หรือดูที่เว็บไซต์ของผู้ผลิต

เคล็ดลับการใช้แป้นพิมพ์อย่างปลอดภัย

          การใช้แป้นพิมพ์อย่างถูกต้องเหมาะสมช่วยคุณหลีกเลี่ยงอาการปวดหรือบาดเจ็บที่ข้อมือ มือ และแขนของคุณได้ โดยเฉพาะถ้าคุณใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับบางอย่างที่ช่วยคุณหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ ได้
  • วางแป้นพิมพ์ของคุณที่ระดับข้อศอก แขนส่วนบนของคุณควรปล่อยตามสบายที่ข้างลำตัว
  • จัดแป้นพิมพ์ของคุณให้อยู่ตรงกลางข้างหน้าคุณ ถ้าแป้นพิมพ์ของคุณมีแป้นพิมพ์ตัวเลขด้วย คุณสามารถใช้ Spacebar เป็นจุดศูนย์กลาง
  • พิมพ์โดยให้มือและข้อมือของคุณลอยอยู่เหนือแป้นพิมพ์ เพื่อให้คุณเอื้อมส่วนแขนของคุณทั้งหมดไปถึงแป้นที่อยู่ไกลได้แทนการเหยียดนิ้วของคุณ
  • หลีกเลี่ยงการพักฝ่ามือหรือข้อมือบนพื้นใดๆ ในขณะพิมพ์ ถ้าแป้นพิมพ์ของคุณมีที่พักฝ่ามือ ให้ใช้ในช่วงที่หยุดพิมพ์แล้วเท่านั้น
  • ขณะพิมพ์ ให้แตะเบาๆ และรักษาระดับข้อมือให้ตรง
  • เมื่อคุณไม่ได้พิมพ์อยู่ ให้พักแขนและมือของคุณ
  • ให้หยุดพักการใช้คอมพิวเตอร์ทุกๆ 15 ถึง 20 นาที